urbancasino22.net
Mocha (มอคค่า) - อีกหนึ่งเมนูสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทานกาแฟ มันคือ Espresso shot + โกโก้นั่นเอง ทำให้ได้รสชาติกาแฟผสมโกโก้ ได้รสชาติที่เข้มข้นของกาแฟและได้กลิ่นของโกโก้อีกด้วย มอคค่าร้อนในบางร้านอาจจะเสริมฟองนมไว้บนผิวกาแฟเพื่อเพิ่มความน่ารับประทาน - ส่วน มอคค่าเย็น จะมีการเพิ่มในส่วนของ นมข้นหวานหรือไซรัปเพิ่มความหวานเข้าไปให้น่ารับประทานมากขึ้นอีกด้วย 6. Macchiato (มัคคิอาโต้) - วิธีเข้าใจง่ายๆ คือการทำกาแฟลาเต้ แบบแยกชั้นระหว่างนมกับกาแฟ Espresso shot โดยนม วิธีการทำคือจะใส่นมธรรมดาหรือผสมด้วยไซรัปต่างๆไปก่อน ตามด้วยการค่อยๆเท Espresso shot ลงบนนม จะทำให้เกิดการแยกชั้นเพราะ น้ำกาแฟมีความหนาแน่นน้อยกว่านม เมนูนี้เกิดมาเพื่อสร้างความสนุกและสีสันให้กับวงการกาแฟมากขึ้นเมื่อคนให้เข้ากันก็จะได้รสชาติเหมือนลาเต้ - สามารถใส่ไซรัปได้เหมือนเมนูลาเต้ ทำให้แยกเป็นเมนูย่อยๆ เช่น caramel macchiato 7. Frappe (เฟร้บเป้) - หากเมนูใดมีคำว่า Frappe ให้รู้ไว้ได้เลยว่า เป็นการปั่น และมีการใส่วิปครีมแน่นอน เช่น chocolate frappe 8. Affogato (อัฟโฟกาโต) - ในภาษาอิตาลี แปลว่า "จม" หรือ "ถูกทำให้จม" เป็นเมนู ไอศกรีมวนิลา ราดด้วย Espresso shot เหมาะผู้เริ่มต้นทานกาแฟ
ร้านกาแฟ เป็นธุรกิจยอดนิยมที่หลายคนให้ความสนใจมากมาย เห็นได้ว่าในช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจร้านกาแฟได้เติบโตอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านกาแฟแฟรนไชส์ชื่อดังหรือร้านกาแฟแบบ SME สำหรับคนที่สนใจอยากเรียนรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจนี้ เพื่อใช้ต่อยอดทำร้านกาแฟของตัวเอง พร้อมเทคนิคการสร้างความโดดเด่นเอาชนะคู่แข่งในตลาด ตามไปดูข้อมูลสำคัญ ๆ กันเลยครับ เปิดร้านกาแฟต้องรู้อะไรบ้าง? 1. ศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อม สิ่งสำคัญที่ควรทำก่อนลงทุน เพราะทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นให้ละเอียดและรอบคอบมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ รูปแบบกิจการ ทำเล และจุดสำคัญที่สุดคือการทำความรู้จักกับคู่แข่งและลูกค้า เพราะแม้ธุรกิจร้านกาแฟจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แต่ในตอนนี้ก็เป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องนำข้อมูลในส่วนนี้มาวิเคราะห์เพื่อหาจุดขาย สร้างความโดดเด่น และเอาชนะใจลูกค้า คำนวณเรื่องทุนต้น รวมถึงวางแผนสำรอง 2. ต่อยอดจากความชอบ หากจะให้ดีควรเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟเป็นทุนเดิมจะได้เปรียบกว่า เพราะจะรู้ว่ากลิ่นหรือรสชาติแบบไหนที่ต้องการ อีกทั้งหากได้ลองศึกษาและทดลองทำเมนูไปทุกวันก็จะสามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนาเป็นเมนูใหม่ ๆ หรือทำเมนูกาแฟที่เป็น Signature ของร้านพร้อมขยายไปพัฒนาสินค้าอื่น ๆ เพื่อเพิ่มยอดขาดได้ เช่น อาหารคาวหรือเบเกอร์รี 3.
8 ลิตร HW ราคา 2500 บาท) 3 ใบ กระติกน้ำร้อน ราคา 800 บาท 1 ใบ เครื่องตีฟองนมไฟฟ้า ราคา 900-1, 200 บาท 2 อัน (สำรอง) แก้วชง (แก้ว หรือสแตนเลส) แก้วตวงขนาด 6 ออนซ์ และ 1. 5 ออนซ์ (แบบมีสเกล) หรือจอกตวงขนาด 1 และ 0. 5 ออนซ์ หมายเหตุ: นี่คือราคาโดยประมาณขึ้นอยู่กับคุณภาพของอุปกรณืที่เลือกใช้ อุปกรณ์เบ็ดเตล็ดอื่นๆ ถาดพลาสติกสำหรับรองชง 2 ใบ เหยือกชักชา 3 ใบ จวักขนาด 4 นิ้ว 1 อัน กระบวยตักน้ำร้อน 1 อัน ถุงชักชา 3 อัน ที่คีบสแตนเลส 1 อัน กระปุกใส่วัตถุดิบ+ช้อนตวง 6 กระปุก กระป๋องใหญ่ใส่ผงชา 2 กระป๋อง ที่คั้นมะนาว 1 อัน ขวดบีบนมจัมโบ้ 3 ใบ ที่เปิดกระป๋องนม 1 ชิ้น ลังใส่น้ำแข็ง 1 ลัง ที่ตักน้ำแข็ง 1 ชิ้น จุกปิดโซดา 1 ชิ้น กระปุกใส่หลอด 1 ใบ สายหิ้วแก้วเดี่ยว 1 แพ็ค สายหิ้วแก้วคู่ 1 แพ็ค ถุงร้อนสำหรับใส่แยกน้ำ 4.
11 หรือ 1, 112 แก้วต่อเดือน เฉลี่ยเป็น 1, 112÷30 = 37 แก้วต่อวัน จึงจะคุ้มค่ากับต้นทุนที่เสียไป หลังจากที่เริ่มเปิดร้านควรทำบัญชีและงบการเงินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเช็กเงินทุนหมุนเวียนที่จะนำมาใช้ในการคิดกำไร-ขาดทุน เพื่อพิจารณาปัจจัยสำหรับการดำเนินการต่อ สำหรับคนที่สนใจเรื่องนี้ ลอง อ่านบทความ จุดคุ้มทุน ของผม ได้ครับ จะลงรายละเอียดและวิธีคำนวณไว้มากกว่า 5. หาทำเลเป้าหมาย อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากตั้งอยู่ในจุดที่เข้าถึงยาก ต่อให้สินค้ามีคุณภาพดีก็อาจทำยอดขายไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ทำเลที่นิยมทำร้านกาแฟได้แก่ ห้างสรรพสินค้า Community Mall อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล สถานศึกษา รถไฟฟ้า ปั๊มน้ำมัน ซึ่งแน่นอนว่าทำเลเหล่านี้เป็นทำเลทองที่คู่แข่งค่อนข้างเยอะ ดังนั้นจึงควรหาจุดขายและนำการตลาดเข้ามาช่วยโปรโมทเพื่อสร้างความได้เปรียบ สำหรับร้านที่ตั้งในย่านชุมชนหรือย่านธุรกิจควรคำนึงถึงเรื่องสถานที่จอดรถสำหรับลูกค้าด้วย 6. ช่องทางการขาย หน้าร้านถือเป็นส่วนสำคัญที่สุด นอกจากการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพดีแล้ว ก็ควรตกแต่งหน้าร้านให้สวยงาม มีเอกลักษณ์พร้อมทั้งสร้างความต่างจะช่วยดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น เพราะในปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบร้านกาแฟที่เป็นทั้งสถานที่พักผ่อนและทำงานไปพร้อมกัน นอกจากนี้ควรเพิ่มช่องทางการขายให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อย่างเช่น ช่องทางการขายออนไลน์ผ่านสื่อโซเชียลและแอพพลิเคชั่น Delivery ต่าง ๆ เปิดร้านกาแฟมีอุปกรณ์อะไรบ้าง?
อุปกรณ์ชงกาแฟ อาทิ ช้อนตวงหรือถ้วยตวง เพื่อคงคุณภาพและรักษารสชาติของกาแฟทุกแก้วให้เป็นมาตรฐานก่อนส่งมอบให้ลูกค้า รวมไปถึงกระบอกทำวิปปิ้งครีม ขวดโรยผงโกโก้หรือกาแฟตกแต่งหน้าเครื่องดื่ม เป็นต้น 5. เครื่องปั่น สำหรับร้านที่มีเมนูปั่น (Frappe) หรือสมูธตี้จะขาดอุปกรณ์ตัวนี้ไม่ได้ ควรเลือกโถแบบพลาสติก เพราะทนทานกว่าโถแก้ว นอกจากนี้พิจารณาจากความจุ ความเร็วรอบปั่น ยิ่งมีรอบปั่นสูงก็ยิ่งได้เนื้อสัมผัสที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น 6. ตู้แช่เย็นและถังน้ำแข็ง อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับใส่น้ำแข็งและแช่ส่วนผสมต่าง ๆ สำหรับทำเมนู เช่น วิปปิ้งครีม นมสด รวมไปถึงเบเกอร์รี 7. ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ เช่น แก้วกาแฟสำหรับเครื่องร้อน เครื่องดื่มเย็น และเมนูปั่น หรือภาชนะสำหรับใส่เครื่องดื่มในร้านและนำกลับบ้าน ทั้งนี้ควรเลือกที่หลายไซส์ให้ลูกค้าได้เลือกตามต้องการ และพิจารณาดีไซน์ที่สวยงามควบคู่กันไปด้วย 8. ของตกแต่งร้าน โดยเลือกให้สอดคล้องกับสไตล์การตกแต่งร้านและอยู่ในโทนสีและธีมเดียวกัน ได้แก่ ป้ายเมนูและราคาที่อ่านง่าย มองเห็นได้ชัดเจน บอกรายละเอียดไว้ชัดเจนทั้งฟอนต์ ขนาด สีสัน โต๊ะ เก้าอี้ ถังขยะ สเตชั่นเครื่องดื่มให้ลูกค้าหยิบหลอด กระดาษทิชชู หรือส่วนผสมเพิ่ม เช่น น้ำเชื่อม น้ำตาล ครีมเทียม รวมถึงแก้วกระดาษและน้ำดื่ม เปิดร้านกาแฟลงทุนเท่าไร?
แก้วกระดาษหรือแก้วพลาสติก 2. แก้ว PET หรือ แก้ว PP 3. การออกแบบโลโก้ 4.
ของใช้จำเป็นอื่นๆ ภายในร้าน อาจจัดเป็นมุมเล็กๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนเสริมในการสร้างความประทับใจกับลูกค้าได้ เช่น กระดาษทิชชู่ เหยือกเล็กๆ สำหรับน้ำเชื่อม น้ำตาลซอง ครีมเทียมซอง ไม้จิ้มฟัน เป็นต้น